ปัจจุบัน แอปพลิเคชันบน App Store มีให้ผู้ใช้ได้เลือก และดาวน์โหลดกันอย่างมากมาย แต่เคยสังเกตกันบ้างหรือไม่ครับว่า ขนาดของแอปพลิเคชัน ที่ปรากฏบน App Store กับที่ติดตั้งลงไปบนอุปกรณ์ จะมีขนาดไฟล์ไม่เท่ากัน ส่วนหนึ่งเป็นเพราะว่า แอปพลิเคชันที่ถูกติดตั้งบนอุปกรณ์นั้น ยังมีองค์ประกอบอื่นๆ อีก ไม่ว่าจะเป็น Cache, Cookies, Error Logs รวมไปถึง Temporary Files ซึ่งรายละเอียดต่าง ๆ เหล่านี้ จะถูกเก็บอยู่บน ROM เช่นกัน และเป็นสาเหตุทำให้พื้นที่บนอุปกรณ์ที่ใช้ ลดลงไปมากกว่าที่ควรจะเป็น
Cache, Cookies, Error Logs และ Temporary Files คืออะไร?
• Cache : เป็นพื้นที่ที่ใช้จัดเก็บข้อมูลที่ตัวแอปพลิเคชั่นจะเรียกมาใช้บ่อย ๆ เนื่องจาก ข้อมูลที่ไม่ได้อยู่ใน Cache ในการเรียกไฟล์ออกมาใช้ จะใช้เวลานาน จึงต้องมี Cache เพื่อประหยัดเวลาในการเรียกไฟล์ต่างๆ มากขึ้น แต่ก็จะทำให้เราเสียพื้นที่ไปเหมือนกัน
• Cookies : เป็นไฟล์เล็กๆ จะจัดเก็บการตั้งค่า ข้อมูลเล็กๆ น้อยๆ ของผู้ใช้ และใช้รักษาสภาพสถานะการล็อกอิน หรือการเชื่อมต่อต่างๆ กับเซิร์ฟเวอร์
• Error Logs : เป็นไฟล์ที่ใช้บันทึกความผิดพลาดที่เกิดขึ้นของแอปพลิเคชั่น เพื่อให้นักพัฒนานำไปใช้ในการปรับปรุงและแก้ปัญหาต่างๆ ที่เกิดขึ้นในเวอร์ชั่นต่อไป
• Temporary Files : เป็นไฟล์ที่เกิดขึ้นจากการดำเนินการบางอย่างของแอปพลิเคชั่น โดยใช้งานแค่เพียงชั่วคราวเท่านั้น แต่หลังจากใช้งานเรียบร้อยแล้ว ไฟล์ก็ยังคงอยู่บนตัวเครื่อง
วิธีจัดการกับไฟล์ขยะเหล่านี้ ทำได้อย่างไรบ้าง?
จริงๆ แล้ว วิธีการจัดการกับไฟล์ขยะเหล่านี้ ไม่ยากครับ เพราะเราสามารถดาวน์โหลดโปรแกรม หรือแอปพลิเคชัน มาช่วยจัดการกับไฟล์ขยะได้ ในที่นี้ จะแบ่งเป็น 2 วิธี ก็คือ แบบเสียเงิน และแบบไม่เสียเงิน
สำหรับการกำจัดไฟล์ขยะบนเครื่อง ด้วยวิธีเสียเงิน ก็คือ การดาวน์โหลดโปรแกรม หรือแอปพลิเคชันนั่นเอง ซึ่งจะเป็นโปรแกรมที่อยู่บนคอมพิวเตอร์ หรืออยู่บน App Store ก็สามารถใช้งานได้เหมือนกัน ซึ่งทีมงาน techmoblog ขอแนะนำ PhoneClean ซึ่งเป็นแอปพลิเคชันจัดการไฟล์ขยะบน iOS สามารถติดตั้งได้ทั้งบน Mac OS X และ Windows ด้วย ราคาเริ่มต้นอยู่ที่ $19.99 หรือราวๆ 700 บาท
ขั้นตอนการใช้งาน PhoneClean
เปิดโปรแกรม PhoneClean แล้วเชื่อมต่อกับ iDevice ซึ่งอินเทอร์เฟสของ PhoneClean จะเป็นแบบภาพประกอบด้านบนครับ เลือกเมนู Quick Clean (การจัดการไฟล์ขยะแบบเร่งด่วน) หรือ Deep Clean (การจัดการไฟล์ขยะแบบละเอียด) ซึ่ง Deep Clean จะใช้เวลานานกว่า แต่จะจัดการไฟล์ขยะได้ดีกว่า
จากนั้น คลิก Start Scan ครับ
หลังจากกด Start Scan ไปแล้ว โปรแกรมจะทำการสำรองข้อมูลของอุปกรณ์ ป้องกันการเผลอไปลบข้อมูลสำคัญนั่นเอง เมื่อครบ 100% แล้ว โปรแกรมจะเริ่มจัดการกับไฟล์ขยะครับ
และเมื่อเสร็จสิ้นการจัดการกับไฟล์ขยะ ก็จะสรุปผลการจัดการไฟล์ขยะให้เราดูว่า มีอะไรกันบ้าง
ส่วนอีกวิธี เป็นแบบฟรีครับ แน่นอนว่า ขั้นตอนและวิธีการต่างๆ คงจะไม่สะดวกและทำได้ไม่ดีเท่ากับแบบเสียเงินอยู่แล้ว มาดูกันว่า มีวิธีไหนทำได้บ้าง
การจัดการไฟล์ขยะด้วย Battery Doctor
**สามารถดาวน์โหลดได้ฟรีบน App Store
เลือกเมนู Memory ด้านล่าง จากนั้น คลิก BOOST ได้เลยครับ ระบบจะทำการจัดการไฟล์ขยะที่อยู่ใน RAM ของตัวเครื่อง
ถัดมา ให้เลือกเมนู Junk แล้วคลิก CLEAN UP CACHE ระบบจะทำการล้างข้อมูล Cache ที่อยู่บน ROM ของตัวเครื่อง
เมื่อเสร็จแล้ว จะเห็นว่า มีพื้นที่เพิ่มขึ้นมา 283 MB จากเดิมที่มีพื้นที่เหลือ 3.9 GB ตอนนี้เพิ่มมาเป็น 4 GB แล้ว
การจัดการไฟล์ขยะที่อยู่บน Web Browser
สำหรับเบราว์เซอร์ Safari ให้เข้าไปที่ Settings > Safari > Clear Cookies & Data
สำหรับเบราว์เซอร์ Chrome ให้เข้าไปที่ Settings > Privacy > Clear Cache และ Clear Cookies, Site Data
การจัดการไฟล์ขยะด้วย iCleaner Pro
สำหรับท่านที่ใช้อุปกรณ์ที่ผ่านการ Jailbreak สามารถกำจัดไฟล์ขยะได้ด้วย แอปพลิเคชัน ที่มีชื่อว่า iCleaner Pro ดาวน์โหลดจาก Cydia App มาใช้งานได้ฟรีครับ ซึ่งจาก http://exile90software.com/cydia ทางทีมงานได้ทดลองใช้แล้ว พบว่า วิธีที่ 3 จะได้ผลกว่าวิธีที่ 2 แต่ถ้ายังไม่สามารถแก้ปัญหาเฉพาะหน้าที่อาจะเกิดขึ้นจากการ Jailbreak ได้ ไม่แนะนำครับ
เข้าไปที่แอปฯ iCleaner Pro แล้วให้เลือกว่า ต้องการกำจัดไฟล์ขยะในส่วนใดบ้าง จากนั้นคลิก Clean
แอปพลิเคชั่นก็จะเริ่มจัดการกับไฟล์ขยะในส่วนต่างๆ ที่เราเลือกเอาไว้ เมื่อเสร็จแล้ว ก็จะสรุปผลการจัดการกับไฟล์ขยะ แล้วก็จะ Respring แค่นี้ก็เรียบร้อยครับ
เป็นอย่างไรกันบ้างครับ กับวิธีกำจัดไฟล์ขยะบนอุปกรณ์ iOS ที่ทีมงาน techmoblog นำมาฝากกันในวันนี้ ซึ่งมีหลากหลายวิธีให้เลือกใช้ ทั้งแบบดาวน์โหลดไปใช้งานกันได้ฟรี หรือแบบเสียเงิน รวมไปถึงผู้ใช้เครื่องแบบ Jailbreak อีกด้วย ส่วนในครั้งหน้า จะนำ Tip & Trick อะไรมาฝากกัน ต้องติดตามครับ
ที่มา : techmoblog.com